ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้คุณ Raynald ได้เริ่มต้นเล่าถึงประวัติของ Omega ที่ได้เริ่มเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ที่ถนนวิทยุตั้งแต่เมื่อ 20กว่าปีก่อน ยังเป็นช่วงเวลาที่คนสนใจนาฬิกาน้อยมากๆ ต่างกับในปัจจุบันซึ่งคนให้ความสนใจขึ้นมาก และสำหรับเขาแล้วนาฬิกาไม่ใช่แค่เครื่องประดับแต่มีอะไรอีกมากมายให้พูดถึง
Q: ที่มาของนิทรรศกาลนี้?
สำหรับเรื่องของนิทรรศการนี้ เป็นการบ่งบอกถึงตัวตนของแบรนด์ที่มีความ universal ไม่ได้จำกัดว่า Omega เป็นแบรนด์ที่เน้นความเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายแต่เพียงเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือคุณภาพ อย่างเช่นชื่อ Omega นั้นมาจากชื่อของกลไกนาฬิกาที่มีคุณภาพสูงมากๆ และจากช่องทางต่างๆของแบรนด์ก็เห็นชัดเลยว่ามีทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่สนใจเข้ามาชมนาฬิกา
นอกจาก Olympic, James Bond แล้วแบรนด์ก็ยังเฉลิมฉลองให้แก่สุภาพสตรีอีกด้วย เช่นในปี 40, 50 ที่ Omega ได้ทำนาฬิกาข้อมือแบบพิเศษเพื่อแหวกกฎค่านิยมของสตรีในสมัยนั้น เป็นการย้ำว่าทำไมถึงตั้งชื่องานว่า "Her Time"
Q: ทำไมถึงต้อง “ฮันโซฮี”?
เหตุที่เลือก ฮันโซฮี เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ก็เนื่องมาจาก คุณค่าที่ Omega มองหา ได้แก่ Character, Success, Hardworking, Value และสำหรับ ฮันโซฮี เธอสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คน และมีความงานในจิตใจอีกด้วยแถมยังเป็นที่หนึ่งในสายอาชีพของตน ซึ่ง perfect ตรงกับสิ่งที่ Omega มองหาในสมาชิกใหม่ของครอบครัว
และความเป็นเกาหลี ก็มีอิทธิพลอย่างมากในเอเชียผ่านวัฒนธรรมป๊อปต่างๆ ทั้ง ดนตรี และ ภาพยนตร์ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริม connectivity กับทั้งโลกอีกด้วยเพื่อให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนเราก็คนบนโลกใบเดียวกัน
เมื่อถามว่าใครเลือกนาฬิกาให้หรือเธอเลือกว่าเธอเอง คำตอบคือ โซฮีเลือกเองเลย ซึ่งนาฬิกาเหล่านั้นมีความแตกต่าง มีรสนิยมทางแฟชั่น มีขนาดและความหนาที่กำลังดี
Q: จะเอาชนะใจ Gen Z ได้ยังไง?
Omega จะเอาชนะหัวใจ Gen Z แต่ยังเอาใจวัยอื่นๆด้วย Omega ได้ส่วนแบ่งตลาดจากกลุ่มวัยรุ่นอยู่มากเพราะเป็นแบรนด์ที่ “True to who we are” ถึงวัยนี้จะสนใจเรื่องดิจิตอลแต่ต้องพยายามสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา และถือว่าโชคดีที่พวกเขาชอบแบรนด์นาฬิกา และให้ความสนใจกับของ luxury
Omega ต้องมีเรื่องราว มีคุณค่าของแบรนด์ และต้องมีลูกค้าเป็นศุนย์กลาง พูดคุย และ พยายามเข้าใจพวกเขา และเวลามีลูกค้าเข้ามาที่ร้าน คุณ Raynald จะบอกพนักงานเสมอว่าให้ชวนลูกค้านั่งคุยทานกาแฟ พร้อมกับเล่าเรื่องราวของแบรนด์ก่อน ไม่ใช่ขายอย่างเดียว ซึ่งเป็นโชคดีที่ Gen Z ชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ของแบรนด์นาฬิกา
Q: ให้เล่าถึงกลยุทธ์การค้า
จำนวนบูทิคที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ แต่จะเปิดเท่าไรก็ยังไม่พอ การเปิดหน้าร้านบูทิคก็เหมือนกับการเปิดบ้าน ซึ่งทำให้ได้รับฟังความต้องการจากลูกค้า และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สร้างความสำเร็จให้แก่แบรนด์ เรามี point of sale อยู่เกือบ 2,000 แห่งทั่วโลก (185 แห่งเป็น own store) โดยต้องเลือกทำเลที่ดีที่สุด และแบรนด์ยังคงให้ความสำคัญกับ partner ที่เปิดร้าน multi brand เช่นเดิม
Q: มุมมองต่อตลาดนาฬิกาในไทย?
คุณ Raynald ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตลาดบ้านเรา จากที่แต่ก่อนร้านต่างจะอยู่ใกล้ๆโรงแรมดัง แต่ในตอนนี้มีร้านนาฬิกามากมายในห้างต่างๆทั้ง Emporium, Siam Paragon เป็นสัญญาณบอกว่าประชากรก็มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนไป คนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนาฬิกามากขึ้น มีคนอยากได้นาฬิกามากขึ้นแต่กระนั้นแบรนด์ก็ยังต้องการ Partner ในหัวเมืองต่างจังหวัดต่างๆ
Q: ให้เล่าถึงพิพิธภัณฑ์ Omega ใหม่ที่สวิส
Omega มีของดีๆมากมายที่เป็นประวัติศาสตร์ เช่นนาฬิกาที่ไปดวงจันทร์ นี่ก็เป็น DNA ของแบรนด์ที่เล่าเรื่องในอดีตเพื่ออนาคต ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากๆในการให้ประสบการ์แก่ผู้เข้าชม
Q: ให้เล่าถึงความร่วมมือของ Blancpain ที่มีในนาฬิกา Omega Chrono Chime
ด้วยความที่กลุ่มบริษัทของ Swatch นั้นมีความ vertical integration ทำทุกอย่างเองไม่ว่าจะเป็นตัวเรือน หน้าปัดหรือกลไก ดังนั้นจึงได้ดึงผู้เชียวชาญระดับสูงและนักวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดของบริษัทที่พัฒนากลไกให้ Blancpain มาร่วมโปรเจค ซึ่งก็มีทำให้กับแบรนด์อื่นๆอีกเช่นกัน
Q: ทำไม Omega ถึงตัดสินใจร่วมมือกับ Swatch ในนาฬิกา Moonswatch?
คุณ Raynald มีความสุขมากๆกับความร่วมมือกันครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพราะความสำเร็จที่เกิดขึ้น แต่เพราะแบรนด์ Omega ได้กลายมาเป็นแบรนด์ที่ “Magical” และไม่น่าจะมีแบรนด์ไหนเลยนอกจาก Swatch จะมาจับคู่กับ Omega ได้เพราะ Swatch นั้นทั้งมีเอกลักษณ์ เป็นแบรนด์ที่ชุบชีวิตอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
คุณ Raynald ตอบตกลงตั้งแต่ประชุมกันครั้งแรก เพียงแค่ขอให้ Swatch ให้ความนับถือต่อ Omega และ DNA ของแบรนด์
ที่คนต่อคิวกันยาวขนาดนี้เพราะผู้คนรู้สึกอยากมีส่วนร่วมถึงราคานาฬิกานั้นจะไม่ได้ถูกมายมาก และมันเป็นเวลาที่เหมาะสมที่นำเสนอนาฬิกานี้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเรื่องแบบนี้ที่จะเข้าถึงใจคนได้ไม่อาจทำได้ด้วยการตลาดเพียงอย่างเดียว
และนี่ยังทำให้ยอดขายของ Omega Speedmaster เพิ่มขึ้นอีกด้วย มีคนรุ่นใหม่จำนวนนึงไปที่ร้านเพื่อดูนาฬิกา Original ที่เป็นแรงบันดาลใจของ Moonswatch เลย
Q: ถามถึงนาฬิกาที่คุณ Raynald ใส่มาในวันนี้?
สำหรับนาฬิกาที่คุณ Raynald ใส่ก็คือ Omega Seamaster Ultra Deep เพราะเป็นนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์ของจุดที่ Omega ได้ไปถึง และเป็นไลน์สูงสุดของ Seamaster ซึ่งมีขนาดที่ไม่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับระดับการกันน้ำที่6,000ม. และด้วยข้อมือที่ไม่ได้ใหญ่มากก็ยังใส่ได้อยู่
ตอนที่สร้างนาฬิกาเรือนนี้สิ่งที่คิดคือจะต้องเป็นนาฬิกาที่ดีที่สุดในไลน์ของ Seamaster รวมถึงยังได้มีโอกาสลงไปใต้ทะเลในจุดที่ลึกระดับทำลายสถิติโลกซึ่งนาฬิกาเรือนนั้นก็มีหน้าตาเหมือนกันกับ Ultra Deep เรือนนี้ที่ใครๆก็ใส่ได้ และสุดท้ายคือมันมีดีไซน์ที่สวยงานเหมาะกับตัวคุณ Raynald มากๆ