Post Page Advertisement [Top]

 

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมาหลายเดือนแล้วว่า Speedmaster รุ่นปัจจุบันจะถูก discontinue และของก็หายากขึ้นกว่าเดิมมาก ในที่สุด Omega ก็ได้เปิดตัว Speedmaster รุ่นใหม่ สานต่อนาฬิการะดับตำนานที่ได้ไปเหยีบดวงจันทร์ คราวนี้เลือกวันเปิดตัวเป็นวันอังคารแบบ Speedy Tuesday ซึ่งเป็นธรรมเนียมของนักสะสม Speedmaster ที่มักจะโชว์นาฬิกา Speedmaster ของตนในวันอังคาร 

ในการอัพเดทครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับแบรนด์เพราะ Speedmaster ถือว่าเป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Omega เป็นอย่างมาก รุ่นปัจจุบันอยู่ในสายการผลิตมาตั้งแต่ช่วงปลายปี90 รุ่นใหม่นี้จึงถือเป็นการอัพเดทที่แฟนๆต่างรอคอยมาอย่างยาวนาน 

ในเรื่องของดีไซน์ภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ขนาดตัวเรือน42มม. หน้าปัดสีดำด้าน มีการเล่นระดับเล็กน้อย เข็มและหลักชั่วโมงเคลือบสารเรืองแสงสีครีม ความถี่ของวงรอบวินาทีถูกแบ่งซอยเป็น3ส่วนจากแต่ก่อน 5ส่วน ขอบหน้าปัทยังคงเป็นอลูมิเนียม แต่มีการวางตำแหน่งของจุดเหนือ90 และเยื้อง70 ให้เหมือนกับรุ่นในอดีต 

สำหรับสายเหล็กก็มีการอัพเดทเล็กน้อยที่บานพับจะมีโลโก้ Omega แล้วมีการปัดลายแบบใหม่ จากเดิมที่มีคำว่า Omega Speedmaster Professional อีกทั้งจะมีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างรุ่น กระจกแซฟไฟร์ และ Hesalite โดยรุ่นแซฟไฟร์สายเหล็กข้อกลางจะปัดเงา ส่วน Hesalite ข้อกลางจะปัดด้าน ทั้งนี้สายเหล็กในรุ่นใหม่จะเพรียวลงจาก20มม.จนถึง 15ม.

สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะที่สุดคือกลไก โดยได้นำ Calibre 3861 มาใช้ กลไกนี้ยังคงเป็นแบบไขลานตามแบบฉบับ Speedmaster แต่ได้รับการอัพเดทให้ใช้ Co-axial escapement ที่จะช่วยลดการสึกหรอในกลไก และเพิ่มความแม่นยำระดับ Master Chronometer ซึ่งแม่นยำระดับ +0/+5 วินาทีต่อวัน การต้านทานสนามแม่เหล็กก็สามารถกันได้ถึง 15,000 gauss ด้วยซิลิคอนบาลานซ์สปริง การสำรองพลังงานก็เพิ่มขึ้นเป็น 50ชั่วโมง


สำหรับรุ่นย่อยตัวเรือนสตีลจะมีให้เลือกระหว่าง กระจกแซฟไฟร์ และ Hesalite (แบบ original) สำหรับรุ่นกระจกแซฟไฟร์ จะเป็นแบบ sapphire sandwich โดยฝาหลังจะเป็นแบบใสโชว์กลไก สลักคำว่า “First Watch Worn on the Moon”  และโลโก้ Omega บนหน้าปัดจะเป็นแบบ applied ส่วน กระจก Hesalite หรือ อะคริลิก ฝาหลังจะเป็นแบบทึบ สลักคำว่า“Flight Qualified by NASA in 1965 for all manned space missions” จากเดิม “Flight Qualified by NASA for all manned space missions”และโลโก้ Omega บนหน้าปัดจะเป็นแบบ printed


นอกจากรุ่นสตีลแล้วคราวนี้ยังมีรุ่นที่ตัวเรือนทำมาจากโลหะล้ำค่า สูตรเฉพาะของ Omega อย่าง Sedna gold และ Canopus gold อีกด้วย Sedna gold จะเป็นการผสมระหว่าง ทองคำ, ทองแดง และ พาลาเดียม  ส่วน Canopus gold จะเป็นทองคำขาวสูตรเฉพาะที่จะคงความกระจ่างได้นานพิเศษ 2รุ่นนี้จะมีจำหน่ายผ่านบูทีคของแบรนด์เท่านั้น

ราคามีการปรับขึ้นจากรุ่นเดิม ราคาเริ่มต้นสำหรับสายเหล็กในรุ่น Hesalite อยู่ที่ 218,000บาท และ รุ่น กระจกแซฟไฟร์ อยู่ที่ 248,000บาท

Bottom Ad [Post Page]